ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทุกนาทีต่อจากนี้ ขอทำชีวิตให้มีความสุข


คนบางคนใช้ชีวิตอยู่บนความคาดหวัง เพราะเข้าใจว่าความคาดหวังจะนำมาซึ่งความสุข หวังให้คนนั้นเป็นอย่างนี้ หวังให้คนนี้เป็นอย่างนั้น หวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ใจต้องการ

ในมุมมองของ นุ่น - ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ความคิดนี้ไม่เป็นการถูกต้อง 
เพราะครั้งหนึ่งนุ่นเคยใช้ชีวิตอยู่บนความคาดหวังมาก่อน จนวันหนึ่งจึงได้รู้ว่า บางครั้งความคาดหวังก็นำมาซึ่งความทุกข์ นุ่นจึงเกิดความคิดใหม่ว่า จะดีกว่าไหมหากเราจะใช้ชีวิตทุกนาทีให้มีความสุขด้วยตัวของตัวเอง ไม่ไปยึดติดหรือคาดหวังกับบุคคลอื่นหรือสิ่งอื่นๆ ฝนตกก็ยิ้มได้ รถติดก็ยิ้มได้ ทำใจให้สบายๆ ก็เป็นพอ ใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง แต่อย่าไปคาดหวังให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เราต้องการ
ความทรงจำมีชีวิต 

สมัยก่อนนุ่นไม่เคยเข้าใจว่าทำไมคนต้องกรี๊ดดารากันด้วย จนวันหนึ่งนุ่นได้มาอยู่ตรงนี้ ได้สัมผัสความ
รู้สึกนี้ด้วยตนเอง...จึงเข้าใจ

แต่ไหนแต่ไรมาสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 - ปี 4 เทอมแรกนุ่นเป็นคนมีเพื่อนน้อย ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก
เท่าไรนัก เพราะเป็นคนติดบ้านมากกว่าติดคณะ เรียนเสร็จก็กลับบ้านทันที ดังนั้นเมื่อเรียนจบรับปริญญา นุ่นก็เลยคิดว่าคนที่มาแสดงความยินดีกับนุ่นน่าจะมีแต่ครอบครัวและเพื่อนสนิท

ที่ไหนได้ ในวันนั้นแม้จะเพิ่งมีงานแสดงเพียงแค่เรื่องเดียว แต่นุ่นกลับเป็นที่รู้จักของคนทั้งมหาวิทยาลัย หลายคนมาแสดงความยินดี หลายคนมาขอถ่ายรูป ทำเอาวันนั้นนุ่นยิ้มไม่หุบ ประทับใจมากๆ ที่สำคัญนุ่นยังได้เข้าใจว่า
“ความรู้สึกดีๆ จากคนคนหนึ่งสามารถส่งผ่านถึงคนอีกคนหนึ่งได้จริงๆ”
ภาพทุกอย่างในวันนั้นยังอยู่ในใจนุ่นมาตลอด เช่นเดียวกับคำอวยพรของทุกคนซึ่งตั้งใจเขียนให้นุ่นใน
วันเลี้ยงฉลองปริญญา คำอวยพรเหล่านั้นเป็นกำลังใจสำคัญ ทำให้นุ่นยิ้มได้ทุกครั้งที่กลับมาอ่าน


แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ภาพความทรงจำนี้ยังคงงดงามและมีชีวิตเสมอ...ไม่เคยเปลี่ยน
Admit จิต พิชิตความอดทน 
4 - 5 ปีที่แล้ว ความที่จิตตกอย่างหนัก เครียดสุดๆ นุ่นจึงหันมาอ่านหนังสือธรรมะเป็นครั้งแรก เมื่อได้
อ่าน...ไม่นานนักอาการก็ดีขึ้นเหมือนได้รับการเยียวยาถูกที่ จึงเกิดความคิดว่า “น่าจะไปปฏิบัติธรรมดูบ้าง” แค่เพียงครั้งแรกที่ได้ปฏิบัติธรรม จิตใจนุ่นก็สงบขึ้นจริงๆ ทำให้อยากหาโอกาสไปอีก ครั้งล่าสุดพี่ๆ ในกองถ่ายจึงเป็นธุระช่วยกันหาที่ปฏิบัติธรรมให้นุ่น ซึ่งถูกใจนุ่นที่สุด ด้วยสถานที่ รูปแบบการปฏิบัติที่เราได้อยู่กับตัวเองจริงๆ ไม่ข้องเกี่ยวกับใครแม้แต่คำพูด

นุ่นกำลังพูดถึงสำนักสงฆ์เขาดินหนองแสง จังหวัดจันทบุรีค่ะ เริ่มแรกที่ไปก็เจอบททดสอบสุดหินเลย
นุ่นป่วยอาเจียนมาตลอด อาการไม่ดีเลยจนหลายคนคิดว่าไม่ไหวแน่ แต่นุ่นกลับคิดว่า “ไหวไม่ไหวก็ต้องไหว"

“ถ้าเรื่องแค่นี้ยังเอาชนะไม่ได้ แล้วจะไปเอาชนะเรื่องอื่นๆ ได้อย่างไร” 
วันที่สามของการปฏิบัติ อาการป่วยทุเลาลง นุ่นสามารถปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ นุ่นเอาชนะร่างกายตัวเองได้แล้ว ยิ่งได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์เช้าจรดเย็น ยิ่งได้คิดว่า “การเปลี่ยนแปลงคือธรรมดาโลก” ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ว่าเราจะยอมรับและทำความเข้าใจกับมันได้หรือเปล่า
บนเส้นทางแห่งมิตรภาพและน้ำใจ 
ความที่คุณแม่ของนุ่นเป็นครู และเคยเป็นครูบนดอยมาก่อนจึงทำให้นุ่นอินกับเรื่องการเป็นผู้ให้มาก ยิ่งมาได้รับบทครูบนดอยในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งตอกย้ำลงในใจนุ่นมากขึ้นไปอีก
ความที่อยากให้เด็กๆ มีโอกาสทางความรู้มากขึ้น นุ่นจึงประกาศรับบริจาคหนังสือในเว็บไซต์ตัวเอง เพื่อนำไปมอบให้โรงเรียนที่ต้องการเพราะลำพังนุ่นคนเดียวคงไม่มีกำลังมากพอแน่ๆ
ไม่นานนัก โรงเรียนบ้านเหมืองสองท่อ จังหวัดกาญจนบุรี ก็เป็นโรงเรียนแรกที่ติดต่อเข้ามา เมื่อ
“ของพร้อม คนพร้อม” นุ่นและเพื่อนก็ออกเดินทางทันที...ในวันเสาร์ วันที่เด็กๆ หยุดโรงเรียน 

ที่เลือกวันเสาร์ก็เป็นความตั้งใจของนุ่นเอง ขอความเรียบง่าย ไม่ต้องมีพิธีรีตอง เพราะเราก็แค่คน
ธรรมดาที่อยากช่วยเพื่อนมนุษย์เท่านั้น แม้เด็กๆ จะไม่อยู่ แต่พวกเขาก็เขียนข้อความต้อนรับ คำขอบคุณจากใจมากมายทิ้งไว้บนกระดานดำ ซึ่งพอได้เห็นเข้า...นุ่นก็รู้สึกดีแล้วว่า “เราให้เขา เขาให้เรา เราแลกกันอย่างจริงใจ” ทั้งที่เด็กๆ เองก็ไม่รู้ว่าคนที่มาเป็นใครด้วยซ้ำ วันนั้นนุ่นไม่รู้ว่าที่ทำไปตัวเองจะได้อะไร รู้แต่ว่า
“มีความสุขที่ได้แบ่งปันก็ดีใจที่สุดแล้ว”
อย่าฝากความหวังที่ใคร
พฤศจิกายนปีที่แล้ว นุ่นมีโอกาสขึ้นไปถ่ายทำภาพยนตร์ที่อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน นานถึงสาม
สัปดาห์ 

ความที่บริเวณนั้นมีแต่ป่าเขา ห่างไกลจากผู้คน มีสัญญาณโทรศัพท์แต่เฉพาะบนที่พัก นุ่นจึงเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยปริยาย วันๆ ทำแต่งาน พอมืดก็กลับเข้าห้อง ถึงเวลาต้องอยู่คนเดียว 
ดีกรีความเหงาค่อยๆ สะสมไปจนแตะระดับสูงสุดในเย็นวันหนึ่ง วันนั้นพอกลับเข้าที่พักปุ๊บ นุ่นรีบเปิด
โทรศัพท์มือถือทันที แล้วนั่งมองอย่างตั้งใจ รอดูว่ามีใครโทรศัพท์มาหาบ้าง หรือมีใครส่งข้อความเข้ามาหรือเปล่า
นุ่นรออยู่นานมาก (ลากเสียงยาว) แต่ทุกอย่างก็เงียบสนิท อยู่ๆ ก็มีโทรศัพท์เข้ามา นุ่นแอบดีใจนึกว่า
แฟนโทร.มา แต่ผิดคาดเพราะปลายสายกลับเป็น “แม่” ของนุ่นเอง แม่ซึ่งไม่ได้เป็นคนที่นุ่นนึกถึงเลย นุ่น
ปล่อยโฮออกมาชุดใหญ่ แต่พยายามกลั้นไว้ไม่ให้แม่รู้ นุ่นรับโทรศัพท์ พูดคุยให้เป็นปกติที่สุด แต่พอวางโทรศัพท์เท่านั้นแหละ นุ่นก็ร้องไห้ต่ออีก ร้องไปด้วยคิดไปด้วยว่า 

“เราใช้ชีวิตผิดมาพักหนึ่ง มัวแต่เอาใจเอาความรู้สึกตัวเองไปฝากไว้ที่คนอื่น คิดว่าเค้าจะทำให้เรามีความสุข โดยลืมมองคนที่รักเราจริงๆ ไปที่จริงแล้ว แม่คือคนสำคัญที่มีแต่ให้และไม่เคยหวังอะไรจากเราเลย”
นุ่นจึงตั้งใจว่า จากนี้ไปจะไม่เอาความรู้สึกตัวเองไปฝากไว้ที่คนอื่นอีก ไม่หวังให้ใครทำให้เรารู้สึกดี แต่
เราจะมีความสุขได้ด้วยตนเองและจะต้องดูแลพ่อกับแม่ให้สมกับที่ท่านรักเราด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น