ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เบต้ากลูแคนกับการบำบัดมะเร็งปอด


มะเร็งปอด พบมากเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งทั้งหมดในประเทศไทย ซึ่งตรวจพบในระยะเริ่มแรกได้ยาก
และมีอัตราการตายสูง
สาเหตุ
1. บุหรี่
การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดของการเกิดโรคมะเร็งปอด ผู้สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่า
ผู้ไม่สูบ 10 เท่า  ผู้ที่ต้องสูดดมควันบุหรี่ของ ผู้อื่น เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอดด้วย  ควันบุหรี่มีสาร
ประกอบมากกว่า 4,000 ชนิด และในจำนวนนี้มีประมาณ 60  ชนิด ที่เป็นสารก่อมะเร็ง ตัวกระตุ้นและตัว
ส่งเสริมให้เกิดมะเร็งปอด ได้แก่  ทาร์ นิโคติน คาร์บอนมอนนอกไซด์ ไฮโดรเจนไซยานายด์ ฟีนอล
แอมโมเนีย เบ็นซิน และ ฟอร์มาลดีฮายด์ เป็นต้น
มะเร็งปอด พบมากในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งนิยม สูบบุหรี่พื้นเมือง ขี้โยหรือยามวน ซึ่งมีปริมาณทาร ์
และ สารก่อมะเร็ง อื่นๆ สูง
2. แอสเบสตอส เป็นแร่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมหลายชนิด เช่น การก่อสร้าง  โครงสร้างอาคาร ผ้าเบรค คลัช
ฉนวนความร้อน  อุตสาหกรรมสิ่งทอ เหมือง แร่ ผู้ที่เสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่ทำงานในสิ่งแวดล้อมที่มีการใช้
แอสเบสตอสเป็นส่วน ประกอบ  ระยะเวลาตั้งแต่สัมผัสฝุ่นแอสเบสตอสจนเป็นมะเร็งปอด อาจใช้ เวลา
15–35 ปี ผู้ไม่สูบบุหรี่ แต่ทำงานกับฝุ่นแร่แอสเบสตอส เสี่ยงต่อมะเร็ง ปอดมากกว่าคนทั่ว ไป 5 เท่า
ผู้สูบบุหรี่และทำงานกับฝุ่นแร่แอสเบสตอสด้วย เสี่ยงต่อมะเร็งปอดมากกว่า คนทั่วไปถึง 90 เท่า
3.เรดอน เป็นก๊าซกัมมันตรังสี ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดจากการสลายตัว ของแร่ยูเรเนียมในใยหิน ซึ่ง
กระจายอยู่ในอากาศและน้ำใต้ดิน ในที่ๆอากาศ ไม่ถ่ายเท เช่น ในเหมืองใต้ดินอาจมีปริมาณมากทำให้มี
ความเสี่ยงต่อการ เกิดมะเร็งปอดได้
                                
4.มลภาวะในอากาศ ได้แก่ไอควันพิษจากรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
อาการ
ระยะเริ่มแรกของโรค ไม่มีอาการใดใดที่บ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นมะเร็ง ปอด แต่อาจพบอาการไอเรื้อรัง
ลักษณะไอแห้งๆ นานกว่าธรรมดา บางครั้ง มีเสมหะ หรือมีเลือดออกเป็นเพียงสายๆติดปนกับเสมหะออกมา
น้ำหนักลด  เบื่ออาหาร ซีด อ่อนเพลีย
ปอดอักเสบ มีไข้ เจ็บหน้าอก ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยไม่มาพบแพทย์ เพื่อรับการ รักษา ทำให้โอกาสที่จะรักษา
หายลดน้อยลง
อาการ
1. ไอแห้งๆ อยู่นานกว่าธรรมดา
2. ไอมีเสมหะ
3. ไอเป็นเลือด แต่เลือดมักออกปนมากับเสมหะ
4. ปอดอักเสบ มีไข้ เจ็บหน้าอก
5. น้ำหนักลด เบื่ออาหาร ซีด อ่อนเพลีย
6. เสียงแหบ เพราะมะเร็งลุกลามไปยังประสาทบริเวณกล่องเสียง
7. บวมที่หน้า คอ แขน และอกส่วนบน เนื่องจากมีเลือดดำคั่ง
8. หายใจลำบาก และหอบเหนื่อย เนื่องจากก้อนมะเร็งโตขึ้น ทำให้เนื้อที่ปอดสำหรับหายใจเหลือน้อยลงไม่เพียงพอกับ
ความต้องการของร่างกาย
9. กลืนลำบาก เนื่องจากหลอดอาหารถูกกด
10. เจ็บปวด เนื่องจากมะเร็งลุกลามแพร่กระจายไปในกระดูก ผนังอก ฯลฯ
11. อัมพาด เนื่องจากมะเร็งแพร่กระจาย ไปยังสมองหรือไขสันหลัง
การวินิจฉัย
1. ถ่ายภาพเอ็กซเรย์ปอด
2. ตรวจเสมหะที่ไอออกมาเพื่อหาเซลล์มะเร็ง
3. ส่องกล้องตรวจดูภายในหลอดลม
4. ขลิบชิ้นเนื้อจากหลอดลมหรือต่อมน้ำเหลือง บริเวณไหปลาร้า เพื่อการ
วินิจฉัยทางพยาธิวิทย
การรักษา
เมื่อพบว่าเป็นโรคมะเร็งปอดแน่นอนแล้วแพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าผู้ป่วย
ควรจะได้รับการรักษาแบบใดจึงจะเหมาะสมที่สุด โดยพิจารณาถึงอายุ ภาวะ
ความแข็งแรงของร่างกาย ระยะของโรค ชนิดของมะเร็งและการยอมรับ
ของผู้ป่วย ซึ่งการรักษาจะประกอบด้วย
1. การผ่าตัด
2. รังสีรักษา
3. เคมีบำบัด
4. การรักษาแบบผสมผสานวิธีการดังกล่าวข้างต้น
5. การรักษาแบบประคับประคอง
การป้องกัน
1. เลิกสูบบุหรี่
2. หลีกเลี่ยงการได้รับมลพิษในสิ่งแวดล้อม
3. รับประทานผัก ผลไม้ให้มากขึ้น และอาหารที่มี วิตามินซี วิตามินอี รวมทั้ง
เซเลเนียม เช่น ข้าวซ้อมมือ รำข้าว  และออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาจลด
ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด
4. การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง การดื่มสุราอาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการ
เกิดโรคมะเร็งปอดได้
ในประเทศไทยมะเร็งปอดเป็นโรคที่พบมากและเป็นสาเหตุการตาย ในอันดับ
ต้นทั้งในเพศชายและหญิงและอุบัติการณ์โรคกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดย
เฉพาะในเพศหญิง ผู้ป่วยมะเร็งปอด ส่วนใหญ่(80-90%)เกิดจากการสูบบุหรี่
จึงสามารถป้องกันได้ ธรรมชาติทาง ชีววิทยาของมะเร็งปอด ทำให้เราพบผู้
ป่วย เมื่อเริ่มมีอาการ ในขณะที่โรคอยู่ในระยะลุกลาม และแพร่กระจาย เป็น
ผลให้ผู้ป่วยประมาณ 90% เสียชีวิตจากโรคมะเร็งภายใน เวลา 1-2 ปี มะเร็งปอด
พบมากในคนอายุ 50-75 ปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (80%) จะเป็นผู้ที่สูบ
บุหรี่ และ ประมาณ 5% จะเป็นผู้ที่ต้องสูดดมควันบุหรี่จากผู้อื่ นผู้ที่สูดดมควัน
บุหรี่จากผู้อื่นจะมี ความเสี่ยง ต่อ การเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น 26% จำนวนมวนของบุหรี่
ที่สูบต่อวันและ ชนิดของบุหรี่ที่สูบจะสัมพันธ์กับอัตราเสี่ยง
ต่อการเกิดมะเร็งปอดผู้ที่สูบบุหรี่10-13% จะเกิด มะเร็งปอดภายในเวลา 30-40
ปี อย่างไรก็ตามถ้าเลิกสูบบุหรี่ก็สามารถลดอัตราการเสี่ยง ต่อการเกิดมะเร็ง
ปอดลงเหลือเท่าผู้ไม่สูบบุหรี่ได้ภายในเวลา 10-15 ปี ผู้ที่สูบบุหรี่ และเป็นโรค
ปอดอุดกั้นเรื้อรังจะยิ่งเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งปอด
สารก่อมะเร็งที่อาจเป็นสามเหตุของโรคในผู้ป่วย10-15%ซึ่งไม่สูบบุหรี่ ได้แก่
แอสเบสตอส (ตัวอย่าง เช่น ผู้ที่ทำงานในโรงงานผลิตผ้าเบรครถยนต์ เป็นต้น)
โดยเฉพาะถ้าผู้นั้นสูบบุหรี่ด้วย จะยิ่งเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งสูงถึง 50 เท่า
สารก่อมะเร็งอื่นได้แก่ แร่เรดอน มลภาวะใน อากาศจากอุตสาหกรรมโลหะหนัก
ควันมลภาวะในสิ่งแวดล้อม การฉายรังสีเพื่อรักษา
มะเร็งชนิดอื่นก็อาจเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งปอดได้โดยเฉพาะผู้สูบบุหรี่ร่วมด้วย
นอกจากนี้ ปัจจัยทางพันธุกรรมก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย มะเร็งปอดเป็นโรคที่ตรวจ
ค้นหาในระยะ เริ่มแรกได้ยาก การนำเอาผู้ที่อยู่ใน
กลุ่มเสี่ยง (ผู้ชายสูบบุหรี่อายุเกิน 40 ปี) มาตรวจ เสมหะและเอ็กซเรย์ปอดเพื่อ
พยายามจะลดอัตราการตายจากโรคมะเร็ง พบว่า สามารถพบผู้ป่วยมะเร็งใน
ระยะเริ่มแรกมากขึ้น แต่ไม่สามารถลดอัตราตายลงได้ การล้มเหลวจากการนี้
เชื่อว่า เนื่องจากมะเร็งปอดแม้จะมีขนาดเล็กก็พบการแพร่กระจายได้สูงมะเร็ง
ปอด มักจะ เริ่มมีอาการเมื่อโรคลุกลามมากแล้ว อาการที่พบได้แก่ อาการไอ
หายใจลำบาก ไอเป็นเลือด ปอดอักเสบบ่อย และเจ็บลึกที่หน้าอก หายใจลำบาก
จากน้ำท่วมปอด เป็นต้น นอกจากนี้ อาจมีอาการเนื่องจากมะเร็๋งลุกลามหรือ
แพร่กระจาย เช่น เสียงแหบ อาการทางสมอง ปวดกระดูก เป็นต้น

เบต้ากลูแคนช่วยให้อายุผิวอ่อนลงถึง 10 ปี


เบต้ากลูแคน (Betaglucan) ดีที่สุดในโลก




คุณรู้จักคำว่า “อายุของผิว” หรือไม่? คำว่าอายุของผิว หมายถึง การที่ความอ่อนเยาว์
ของผิว แต่ละคน นั้นมีความแตกต่างกันและเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน อายุของผิวจะต่าง
กันมากถึง 10 ปี

อายุผิว เป็นตัวบ่งบอกถึง ความสมบูรณ์ของสุขภาพผิวแต่ละคน สุขภาพผิวที่ดีจะมี
ลักษณะเนียน เรียบ นุ่ม เต่งตึง มีน้ำหล่อเลี้ยง สีผิวสม่ำเสมอและมีเลือดฝาด ดูมีชีวิต
ชีวาโดยลักษณะโครงสร้างผิวหนังจะแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
ชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (subcutaneous fatty layer)

  
สาเหตุแห่งความร่วงโรยของผิว
1.ความแห้งกร้าน เนื่องจากชั้นผิวประกอบด้วยเคราดิน (Keratin) น้ำ และ
น้ำมันที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว เมื่อร่างกายขาดน้ำ จะนำมาซึ่งมีลักษณะเป็นขุย
ผื่นแพ้ ผิวหนังอักเสบ

2.คอลลาเจน (Collagen) และอิลาสติน (Elastin) ลดลงและแข็งตัวตามอายุที่
เพิ่มขึ้น

3.มลพิษทางสิ่งแวดล้อม สารเคมี รังสียูวี (UV) ในแสงแดด
4.นิสัยการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
5.ความเครียดและการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
อาการจากความร่วงโรยของผิว
1. ผิวหยาบกระด้าง ขาดความชุ่มชื้น มีริ้วรอยและหย่อนยาน มีรอยจุดด่างดำ
สีผิวหมองคล้ำ
2. ภูมิแพ้ผิวหนัง ระคายเคือง ผิวหนังเปื่อย
3.มะเร็งผิวหนัง จากการถูกกระตุ้นโดยรังสียูวี ทำให้ DNA ของเซลล์เกิดการ
ผ่าเหล่า

การป้องกันการร่วงโรยของผิว
1.ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น มีน้ำหล่อเลี้ยง
2.รักษาความสะอาด กำจัดสิ่งสกปรกอุดตันบริเวณรูขุมขน และน้ำมันที่เป็นส่วน
เกิน
3.รับประทานอาหารอุดมด้วยแร่ธาตุ วิตามิน อาหารที่มีไขมันน้อย กากใยสูง
4.หลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการดื่มชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบ
บุหรี่
5.หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากแสงแดดเป็นตัว
กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน และทำให้คอลลาเจนแข็งตัว

การใช้เบต้ากลูแคน 1,3-1,6 เพื่อสุขภาพผิว หน้าใส ผิวสวย ด้วย”เบต้ากลูแคน 1,3-1,6″
เป็นเอสเซนส์บำรุงผิว ช่วยกระชับรูขุมขน เพิ่มความคุ้มกันให้กับผิวประหนึ่งเตรียมผิวให้
พร้อมสำหรับทาครีมบำรุงอื่นๆ ต่อไปเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพของครีมบำรุงสูงสุดสามารถใช้
แทน TONER ได้เนื่องจากมีคุณสมบัติกระชับรูขุมขนแต่อุดมไปด้วยสารที่มีคุณค่ามากกว่า
โทนเนอร์และไม่มีน้ำหอม และแอลกอฮอล์ จึงไม่ระคายผิว

เบต้ากลูแคนมีคุณสมบัติเป็นใยอาหารละลายน้ำ สามารถเก็บรักษาและอุ้มน้ำไว้ในโครงสร้าง
หากใช้ เบต้ากลูแคนในการบำรุงผิว จะช่วยให้เซลล์ผิวชุ่มชื้น มีน้ำหล่อเลี้ยง ปกป้องผิวจาก
ความแห้งกร้าน ทำงานร่วมกับเซลล์เม็ดเลือดในผิวหนัง ป้องกันการติดเชิ้อจุลินทรีย์ที่ผิว ป้อง
กันมะเร็งผิวหนังอันมีสาเหตุมาจากรังสีอัลตราไวโอเลท (UV) ช่วยลดการซึบซาบของรังสีอัลตรา
ไวโอเลท (UV) เข้าสู่ผิวหนัง ลดการสร้างเม็ดสีเมลานินซึ่งทำให้ผิวหมองคล้ำและเกิดจุดด่างดำ
ในขณะเดียวกันแม้ว่าเมลานินจะถูกสร้างขึ้นแล้วก็ตาม เบต้ากลูแคนยังช่วยป้องกันการเกิดอนุมูล
อิสระ (AntiOxidant) จึงป้องกันการคล้ำลง ของสีผิวและทำการกระจายเมลานินที่ผิวหนังอย่าง
ทั่วถึง ทำให้ผิวไม่ตกกระ นอกจากนั้นเบต้ากลูแคน ยังสามารถป้องกันการแข็งตัวและกระตุ้นการ
สร้างเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งจะมีส่วนสำคัญ ที่ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นได้อีกด้วยผิวที่
หย่อนหยานก็จะเต่งตึงขึ้นและยังช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ใหม่ ได้เร็วขึ้นเบต้ากลูแคนจึงเหมาะ
สำหรับผู้หญิงและผู้ชายวัยกลางคนอย่างยิ่งที่ต้องการความเป็นหนุ่ม เป็นสาว


Beta Glucan ถูกพบว่ามีคุณสมบัติพิเศษในการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
ทำให้ติดเชื้อต่างๆ ได้ยากขึ้นรวมทั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุให้เกิดสิวอักเสบ โดยปัจจุบันพบว่า
เบต้ากลูแคน สามารถช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นได้ผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ทดสอบความสามารถใน
การลดริ้วรอยเมื่อใช้เบต้ากลูแคน ติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือน ในผู้หญิงวัย 35-60 ปี จำนวน 150 คน พบว่า
ริ้วรอยลดลงสูงสุดถึง 47% ความกระชับยืดหยุ่นของผิวเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 60% และลดจุดด่างดำได้ถึง 26%




ทั้งนี้ผลิตภัณบำรุงผิวแบรนด์เช่นในยุโรปและญี่ป่นนิยมใช้สาร เบต้ากลูแคน เพื่อบำรุงผิวในเรื่องลดริ้วรอย
และกระชับรูขุมขน คุณจึงมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้มีคุณค่าเทียบกับเคาท์เตอร์แบรนด์
ทั้งนี้นอกจากคุณสมบัติในการลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยของ เบต้ากลูแคน แล้วยังพบว่าเบต้ากลูแคนยังเป็นสาร
ต้านอนุมูลอิสระที่ดีมากตัวหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติที่ป้องกันผิวถูกทำร้ายด้วยและ UV จากแดดและคอมพิวเตอร์
ที่เป็นสาเหตุของจุดด่างดำและริ้วรอยอีกด้วย เบต้ากลูแคนเป็นส่วนผสมสำคัญในเครื่องสำอางยี่ห้อดังหลาย
ยี่ห้อ

วิธีใช้
ทาบำรุงผิวทั่วหน้าหลังล้างหน้า ก่อนทาครีมหรือเซรั่มชนิดอื่นๆ โดยการหยดเบต้ากลูแคน 2-3 หยดหรือ
ก่อนนอน หลังล้างหน้า หยดเบต้ากลูแคน 1,3-1,6 พอประมาณลงบนมือ แล้วนำเบต้ากลูแคน 1,3-1,6ทาที่หน้าและนวดจนแห้งสนิทให้ทั่วหน้า
และแต้มบริเวณสิวอักเสบนั้นด้วยจะดี จะรู้สึกผิวเย็นชุ่มชื่นทันทีหลังใช้ อายุการเปิดซองของเบต้ากลูแคน 1,3-1,6 คือ 7 วัน
เบต้ากลูแคน 1,3-1,6จะมีการเปลี่ยนรูป แต่สารอาหารยังเหมือนเดิม ควรเก็บไว้ในซองซิป เก็บไว้ตามอุณหภูมิทั่วไป ถ้าเก็บ
ในตู้เย็นก็จะอยู่ได้นานขึ้นครับ
ด้วยอานุภาคของสารสกัดเบต้ากลูแคน สกัดจากผนังของยีสต์ มีฤทธิ์ป้องกันการเกิด Lipid Peroxidation
ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ที่เป็นผลทำให้เกิดริ้วรอยและความหมองคล้ำฟื้นฟูและบำรุงอย่างล้ำลึก สู่ผิว
ชั้นใน เสริมคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่นได้ดีมาก ช่วยลดริ้วรอยให้จางลง และชะลอผิวแก่
และการริ้วรอยใหม่สารเบต้ากลูแคน ยังช่วยเข้าไปซ่อมแซม DNA/RNA ในเซลล์ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่สุด พร้อม ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และเพิ่มภูมิคุ้มกัน ในเซลล์เม็ดเลือดขาว เซลล์ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใต้ผิว
ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น ลดความหมองคล้ำ ผิวแสบแดง ถลอก ชะลอผิวแก่ได้เป็นอย่างดี และยังคงความเรียบ
เนียน ชะลอความเสื่อมของเซลล์โดยตรง เพราะเบต้ากลูแคนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงมาก แรง
กว่าวิตามินอีและซี 100เท่า ผสานพลังสารสกัด Centella Asiatica extract แก้ปัญาสิวอักเสบ เรื้อรัง
สมานรอยแผลเป็นลดอาการระคายเคือง พร้อมกระชับรูขุมขน ได้อย่างดีเพิ่มและคงความสมดุลของน้ำหล่อ
เลี้ยงใต้ผิวด้วยสารสกัดจากราก  Imperata Cylindrica สารสกัดนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส เพิ่มความนุ่ม
ชุ่มชื้นแก่ผิวรักษาความชุ่มชื้นได้นานถึง 24 ชั่วโมง  พร้อมผลัดเซลล์ผิวด้วยเอนไซม์จากธรรมชาติของสาร
สกัดดอก Opuntia ficus indica ทำหน้าที่เสมือน AHA ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอกออก
อย่างอ่อนโยน การระคายเคืองต่ำกว่า AHA เอนไซม์เบต้ากลูแคนยังสามารถฟื้นฟูและบำรุงผิวหน้าให้สวยใส
เมื่อใช้เป็นประจำต่อเนื่อง  และเห็นผลชัดเจนใน 7 -21 วัน
ปล.ปัญหาเรื่องสิวอักเสบ(ถ้าบีบจนเป็นเลือดแล้วเอา เบต้ากลูแคน 1,3-1,6แต้ม) จะเห็นผลชัดจริงๆ ประมาณ
1- 2 วัน จะแห้งสนิทปัญหาเรื่องสิวอักเสบ (ถ้าไม่บีบ เบต้ากลูแคน 1,3-1,6แต้ม) จะเห็นผลชัดจริงๆ ประมาณ
2-3วัน ถึงจะแห้งสนิท สำหรับสิวทั่วไป แต่จะมีหัวสิวอยู่บริเวณนั้นๆที่เป็นจึงอาจจะต้องหาวิธี
เขี่ยหัวออก อย่างระมัดระวัง

วิธีการทำงานของเบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำ “เบต้ากลูแคน 1,3-1,6”

เบต้ากลูแคนมีคุณสมบัติเป็นใยอาหารละลายน้ำ ดังนั้นจึงสามารถเก็บกักและอุ้มน้ำไว้ในโครงสร้างของมัน
ช่วยให้เซลล์ผิวชุ่มชื้น มีน้ำหล่อเลี้ยง ปกป้องผิวจากความแห้งกร้าน ป้องกันการติดเชื้อจุลินทรีย์ที่ผิวหนัง
ช่วยลดการซึมซาบของรังสียูวีเข้าสู่ผิวหนัง ลดการสร้างเม็ดสีเมลานินซึ่งทำให้ผิวหมองคล้ำและเกิดจุด
ด่างดำป้องกันการแข็งตัวและกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอิลาสติน ทำงานร่วมกับเซลล์เม็ด
เลือดในผิวหนัง ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่


เจาะลึกอันตราย สุขภาพ กระดูกพรุน อันตรายน้ำดำ!

Pic_295675
ใครที่เป็นแฟนคลับเครื่องดื่มน้ำดำอย่าง มีข้อสงสัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความอ้วน เรื่องน้ำตาลและเรื่องกระดูกพรุนกับทุกข้อสงสัยไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสได้พูด คุยกับ นพ.แม็กซีม บิวอิก ผู้อำนวยการโครงการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิต ฝ่ายวิทยาศาสตร์และกฎระเบียบ ผลิตภัณฑ์น้ำดำชื่อดัง..
Q : สาวๆ กลัวเรื่องอ้วน จำเป็นไหมที่จะต้องคำนวณแคลอรี่ก่อนรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มในแต่ละครั้ง

A : การ คำนวณแคลอรี่อย่างละเอียดและตลอดเวลาอาจจะเป็นวิธีที่ค่อนข้างยุ่งยากและ สับสน เพราะท้ายที่สุด เราอาจไม่สามารถรับรู้ข้อมูลพลังงานของอาหารทุกประเภทที่เรารับประทานได้ ทั้งหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงเป็นจานๆ และในแต่ละวัน แต่ละคนก็อาจใช้พลังงานที่ต่างกันไปอยู่ดี  อย่างไรก็ตาม การรับทราบและตระหนักถึงข้อมูลแคลอรี่ของอาหารหรือเครื่องดื่มแต่ละประเภท จะเป็นการย้ำเตือนให้เราตระหนักถึงการรักษาสมดุลพลังงานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเราควรทำควบคู่ไปกับการชั่งน้ำหนักเป็นประจำ เพื่อให้รู้ตัวว่าตัวเองกินมากเกินไปกว่าที่เราใช้พลังงานหรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น น้ำหนักตัวเราก็จะเพิ่มขึ้น และหมายความว่าเราต้องระมัดระวังเรื่องการบริโภคให้มากขึ้น  ต้องมีกิจกรรมทางกายให้มากขึ้น เช่น การไปออกกำลังกาย เพื่อทำให้น้ำหนักของเรากลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมอีกครั้ง
Q : จากผลการศึกษาและแผนภูมิ แสดงสัดส่วนพลังงานจากการบริโภคอาหารแต่ละประเภทของประชากรไทย ซึ่งสำรวจในปี 2006 ดร.แม็กซีม คิดว่ามีความสมดุลแล้วหรือไม่อย่างไร และน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางทิศใดในปัจจุบัน


A : จากการที่เคยทำงานและพำนักอยู่ในประเทศไทยมาก่อน เขาได้มองเห็นพัฒนาการที่ดีมาก โดยเฉพาะปัญหาทุพโภชนาการ ซึ่งปัจจุบันมีน้อยและจะจำกัดวงอยู่เพียงบางพื้นที่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ในภาพรวม อาหารในประเทศไทยค่อนข้างจะพอเพียง และหลากหลาย มีทั้งผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ที่เพียงพอต่อการบริโภค แต่สิ่งที่ท้าทายก็คือคนทั่วโลกรวมถึงคนไทยด้วย กำลังเปลี่ยนมาใช้วิถีชีวิตคนเมืองมากขึ้น มีอาหารประเภทใหม่ๆ เข้ามา และมีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลงทุกที เช่น จากเคยเดินขึ้นบันได ก็มีลิฟต์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทำให้เรามีกิจกรรมทางกายน้อยลง

การสำรวจ ประเภทนี้เป็นการสำรวจระดับประเทศที่ต้องเก็บข้อมูลจำนวนมาก หากมีการสำรวจใหม่ ก็จะช่วยให้เราเข้าใจการบริโภคของคนไทยในปัจจุบันได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามสัดส่วนการบริโภคของแต่ละพื้นที่มักจะไม่เปลี่ยนแปลงมากในระยะ สั้น อาทิ คนไทยก็ยังคงได้รับพลังงานจากข้าวเป็นหลัก เพราะยังคงเป็นวัฒนธรรมการบริโภคของประเทศมาโดยตลอด

Q : อะไรคือภาวะการขาดสารอาหารซ่อนเร้น


A :
การ ขาดวิตามินเอ จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบการมองเห็น อาจทำให้ตาบอดได้ ในขณะที่ทำงานด้านนี้ จึงมีการส่งเสริมให้ผลิตอาหารและบริโภคอาหารที่มีวิตามินเอมากๆ คือ ผักและผลไม้ชนิดต่างๆ ซึ่งหากมีการผลิตและการบริโภคผักและผลไม้ประเภทเหล่านี้อย่างพอเพียงและ เหมาะสม เราก็ไม่จำเป็นจะต้องบริโภควิตามินชนิดแคปซูลเสริม

Q : หลักการคำนวณแคลอรี่ในแต่ละวัน มีเกณฑ์กำหนดเท่าไรสำหรับชาวเอเชีย
A : คนเรามีความต้องการทางโภชนาการหรือวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ในแต่ละช่วงวัย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ถ้าเปรียบเทียบกับชาวยุโรป จะมีโครงสร้างร่างกายใหญ่กว่าคนเอเชีย เพราะฉะนั้นความต้องการจึงแตกต่างกัน ไม่ควรกังวลในเรื่องนี้มากนัก ประเด็นสำคัญก็คือ การบริโภคให้สมดุล คือพยายามทานอาหารและเครื่องดื่มให้พอเพียงต่อความต้องการใช้พลังงานในแต่ละ วัน สำหรับผู้ที่กลัวอ้วน แนะนำว่าให้ชั่งน้ำหนักตัวทุกวัน เพราะจะได้รู้ว่าเมื่อไหร่ที่น้ำหนักขึ้น เพราะทานมากเกินไป ก็จะได้ลดปริมาณลงหรือปรับเปลี่ยนประเภทอาหาร หรือไม่ก็ออกกำลังกายให้มากขึ้น เพื่อเผาผลาญพลังงานที่ได้รับเข้าไปมากเกินไป ซึ่งเรียกว่าสมดุลพลังงาน ก็จะสามารถควบคุมน้ำหนักได้

Q : การดื่มน้ำอัดลมทำให้ติดหรือไม่

A : หากพิจารณาจากมุมมองทางการแพทย์แล้ว การบริโภคน้ำอัดลมไม่ได้ส่งผลให้เกิด “การติด” เหมือนกับการเสพติดสารอื่นๆ อย่างไรก็ตาม หลายครั้งคนทั่วไปมักจะใช้คำว่า “ติด” ในการพูดถึงสิ่งที่ชื่นชอบมากๆ ทำให้คำว่าติดบางครั้งก็ถูกนำมาใช้กับการบริโภคน้ำอัดลม สำหรับคนที่ชื่นชอบน้ำอัดลมมากๆ ทั้งที่ความจริงน้ำอัดลมไม่ได้ก่อให้เกิดอาการ “ติด” ตามความหมายทางการแพทย์แต่อย่างใด

Q : การดื่มน้ำอัดลมขณะท้องว่าง เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่

A : สำหรับคนทั่วไปที่มีสุขภาพปกติแล้ว ไม่เฉพาะตอนท้องว่าง ดื่มตอนไหนก็ปลอดภัย ส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์โค้ก คือ น้ำ ซึ่งให้ความสดชื่นแก่ร่างกาย กรดในกระเพาะอาหารของคนเรามีความเป็นกรดมากกว่าในน้ำอัดลมหรืออาหารทั่วไป หลายเท่า
Q : มีความเชื่อที่ว่า หากต้องการมีร่างกายที่แข็งแรง เราไม่ควรบริโภคข้าวขาหมู หรือข้าวมันไก่ เชื่อได้หรือไม่
A : มี คำพูดมาแต่โบราณว่า ไม่มีอาหารที่ดีหรืออาหารที่เลว มีแต่แบบแผนการบริโภคที่ดีหรือที่เลว แบบแผนการบริโภคที่ถูกต้องคือการบริโภคอย่างสมดุล นั่นคือการที่คุณบริโภคอะไรในมื้อนี้ หรือมื้อหน้า ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตัดสินว่า สุขภาพคุณจะดีหรือไม่ เราจำเป็นจะต้องดูภาพรวมว่าโดยทั่วไปแล้ว คุณมีพฤติกรรมในการบริโภคโดยรวมอย่างไร คุณบริโภคอะไรมากน้อยเท่าไหร่ และมีกิจกรรมทางกายหรือการใช้พลังงานมากน้อยเท่าไหร่ ต้องพิจารณากันในระยะยาว มิใช่แค่มื้อใดมือหนึ่ง
Q : เด็กไม่ควรดื่มน้ำอัดลมจริงหรือไม่ เนื่องจากมีมาตรการห้ามขายน้ำอัดลมในบางโรงเรียน

A :
ไม่ จริง เครื่องดื่มน้ำอัดลมปลอดภัยสำหรับเด็ก แต่ที่บางโรงเรียนห้ามขายอาจเป็นเพราะต้องการส่งเสริมเครื่องดื่มประเภท อื่นๆ เช่น น้ำ นม หรือน้ำผลไม้ ซึ่งต้องไม่ลืมว่าเครื่องดื่มเหล่านี้ก็ให้พลังงานกับร่างกายเหมือนกัน

Q : การดื่มน้ำอัดลม ทำให้อ้วนหรือไม่


A :
น้ำอัดลมก็เหมือนกับเครื่องดื่มและอาหารอื่นๆ ที่ให้พลังงาน เมื่อมีการบริโภคที่ไม่สมดุลและเกิดพลังงานส่วนเกิน พลังงานส่วนเกินนี้ ไม่ว่าจะมาจากอาหารหรือเครื่องดื่มประเภทใด ก็ทำให้อ้วนได้ เราจึงไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรค อ้วน
Q : น้ำอัดลมเป็นสาเหตุให้เกิดโรคกระดูกพรุนหรือไม่

A :
ไม่ การดื่มน้ำอัดลมไม่ทำให้กระดูกอ่อนแอ ขั้นตอนสำคัญที่คุณสามารถรักษากระดูกให้แข็งแรง มีสุขภาพดี ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง ประกอบการออกกำลังกายประเภทที่ต้องมีการแบกหรือยกน้ำหนัก

และนี่คือคำตอบจากปากผู้เชี่ยวชาญน้ำดำชื่อดัง

เมนูเด็ดเสริมภูมิต้านทาน


     ย่างก้าวเข้าสู่หน้าฝนเมื่อไหร่ อุณหภูมิร้อนสลับเย็น ก่อนฝนตกอาจจะร้อนอบอ้าว พอฝนผ่านไปแล้วก็เริ่มมีลมเย็นๆ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยแบบนี้ ทำเอาเป็นหวัดได้ง่ายๆ การปรับสมดุลของร่างกายจึงเป็นสิ่งจำเป็น และสิ่งที่ช่วยปรับสมดุลพร้อมๆ กับเพิ่มภูมิต้านทานได้ หนีไม่พ้นเรื่องของอาหาร เมนูที่แนะนำคราวนี้ จึงเน้นเรื่องการเสริมความแข็งแรงให้กับคุณแม่ท้องค่ะ


ดาวเด่น...เสริมภูมิต้านทาน
อยากรู้แล้วใช่ไหมคะว่า มีสารอาหารใดที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานได้บ้าง หน่วยอุ่นจัดให้ค่ะ

เบต้าแคโรทีน เพิ่มการทำงานของเซลล์ที่ดักจับเชื้อโรค พบมากในแครอต ฟักทอง มันเทศ บีทรูต ผักใบเขียวจัด แคนตาลูป มะม่วงสุก มะละกอสุก ฯลฯ

วิตามินบี 6 ช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดขาวสร้างแอนติบอดี พบมากในถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดสี ไก่ หมู กล้วย นม ตับ ฯลฯ

วิตามินซี มีมากในผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว สตรอเบอรี่ พริกหวาน บร็อกโคลี มะเขือเทศ ฯลฯ ทำหน้าที่ป้องกันเซลล์เม็ดที่ทำหน้าที่ดักจับเชื้อแบคทีเรีย

วิตามินอี เพิ่มการสร้างแอนติบอดี ช่วยสร้างเสริมการทำงานของเซลล์ที่ทำหน้าที่หลักในการป้องกันการติดเชื้อ มีมากในข้าวโพด น้ำมันมะกอก ถั่วเปลือกแข็ง ฯลฯ

โปรตีน ช่วยผลิตและรักษาปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว มีมากในผลิตภัณฑ์นมขาดไขมัน ถั่วเมล็ดแห้ง เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ปลา ถั่วเปลือกแข็ง

ซีลีเนียม เพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกัน มีมากในเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารทะเล ฯลฯ

อิ่มท้อง เติมความแข็งเรง
รู้จักสารอาหารกันไปแล้ว มาดูกันว่าจะนำปรุงเป็นจานอร่อยแบบไหนได้บ้าง คราวนี้มีเมนูมาให้อย่างจุใจเลย ทั้งของคาว ของหวาน และเครื่องดื่ม ลองทำดูนะคะ

 


1.ยำสามสหาย
ส่วนประกอบ

ไข่ต้มผ่าสี่ 1 ฟอง

กุ้งแชบ๊วยต้มสุก 5 ตัว

สันในหมูต้มหั่นบาง 50 กรัม

แครอตขูดฝอย ½ ถ้วย

หอมแดงซอย 2 ช้อนโต๊ะ

เกลือป่น ¼ ช้อนชา

น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ

น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำมันรำข้าว 1 ช้อนชา

วิธีทำ

1. ละลายน้ำผึ้ง น้ำมันรำข้าว เกลือป่นกับน้ำมะนาวในชามผสม คนให้เข้ากัน

2. ใส่หอมแดงซอย แครอตขูดฝอย คนเบาๆ

3. ใส่กุ้งต้ม หมูต้ม คนคลุกให้เข้ากัน

4. เสิร์ฟพร้อมกับเครื่องเคียงอย่างไข่ต้ม โรยด้วยใบสะระแหน่


2.รวมมิตรลอยแก้ว

ส่วนประกอบ

ส้มโอแกะฉีกชิ้นเล็ก 2 กลีบ

แคนตาลูปตักลูกกลม ½ ถ้วย

ถั่วแดงต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ

ข้าวโพดต้มแกะเม็ด ¼ ถ้วย

น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

นมสด ½ ถ้วย

วุ้นสังขยาหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1. ใส่ส้มโอ แคนตาลูป ถั่วแดง ข้าวโพด วุ้นสังขยา ตามลำดับ

2 .ราดน้ำผึ้ง นมสดเย็น เสิร์ฟทันที

Mom's tip
เมนูนี้ความพิถีพิถันอยู่ที่การเตรียมผลไม้ ต้องสด สะอาดและเสิร์ฟทันที เพื่อรักษาคุณค่าวิตามินซีไว้ สำหรับส่วนผสมถั่วแดงต้ม และข้าวโพดอาจซื้อที่สลัดบาร์เพื่อประหยัดเวลาในการเตรียม

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก momypedia.com

ทุกนาทีต่อจากนี้ ขอทำชีวิตให้มีความสุข


คนบางคนใช้ชีวิตอยู่บนความคาดหวัง เพราะเข้าใจว่าความคาดหวังจะนำมาซึ่งความสุข หวังให้คนนั้นเป็นอย่างนี้ หวังให้คนนี้เป็นอย่างนั้น หวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ใจต้องการ

ในมุมมองของ นุ่น - ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ความคิดนี้ไม่เป็นการถูกต้อง 
เพราะครั้งหนึ่งนุ่นเคยใช้ชีวิตอยู่บนความคาดหวังมาก่อน จนวันหนึ่งจึงได้รู้ว่า บางครั้งความคาดหวังก็นำมาซึ่งความทุกข์ นุ่นจึงเกิดความคิดใหม่ว่า จะดีกว่าไหมหากเราจะใช้ชีวิตทุกนาทีให้มีความสุขด้วยตัวของตัวเอง ไม่ไปยึดติดหรือคาดหวังกับบุคคลอื่นหรือสิ่งอื่นๆ ฝนตกก็ยิ้มได้ รถติดก็ยิ้มได้ ทำใจให้สบายๆ ก็เป็นพอ ใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง แต่อย่าไปคาดหวังให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เราต้องการ
ความทรงจำมีชีวิต 

สมัยก่อนนุ่นไม่เคยเข้าใจว่าทำไมคนต้องกรี๊ดดารากันด้วย จนวันหนึ่งนุ่นได้มาอยู่ตรงนี้ ได้สัมผัสความ
รู้สึกนี้ด้วยตนเอง...จึงเข้าใจ

แต่ไหนแต่ไรมาสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 - ปี 4 เทอมแรกนุ่นเป็นคนมีเพื่อนน้อย ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก
เท่าไรนัก เพราะเป็นคนติดบ้านมากกว่าติดคณะ เรียนเสร็จก็กลับบ้านทันที ดังนั้นเมื่อเรียนจบรับปริญญา นุ่นก็เลยคิดว่าคนที่มาแสดงความยินดีกับนุ่นน่าจะมีแต่ครอบครัวและเพื่อนสนิท

ที่ไหนได้ ในวันนั้นแม้จะเพิ่งมีงานแสดงเพียงแค่เรื่องเดียว แต่นุ่นกลับเป็นที่รู้จักของคนทั้งมหาวิทยาลัย หลายคนมาแสดงความยินดี หลายคนมาขอถ่ายรูป ทำเอาวันนั้นนุ่นยิ้มไม่หุบ ประทับใจมากๆ ที่สำคัญนุ่นยังได้เข้าใจว่า
“ความรู้สึกดีๆ จากคนคนหนึ่งสามารถส่งผ่านถึงคนอีกคนหนึ่งได้จริงๆ”
ภาพทุกอย่างในวันนั้นยังอยู่ในใจนุ่นมาตลอด เช่นเดียวกับคำอวยพรของทุกคนซึ่งตั้งใจเขียนให้นุ่นใน
วันเลี้ยงฉลองปริญญา คำอวยพรเหล่านั้นเป็นกำลังใจสำคัญ ทำให้นุ่นยิ้มได้ทุกครั้งที่กลับมาอ่าน


แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ภาพความทรงจำนี้ยังคงงดงามและมีชีวิตเสมอ...ไม่เคยเปลี่ยน
Admit จิต พิชิตความอดทน 
4 - 5 ปีที่แล้ว ความที่จิตตกอย่างหนัก เครียดสุดๆ นุ่นจึงหันมาอ่านหนังสือธรรมะเป็นครั้งแรก เมื่อได้
อ่าน...ไม่นานนักอาการก็ดีขึ้นเหมือนได้รับการเยียวยาถูกที่ จึงเกิดความคิดว่า “น่าจะไปปฏิบัติธรรมดูบ้าง” แค่เพียงครั้งแรกที่ได้ปฏิบัติธรรม จิตใจนุ่นก็สงบขึ้นจริงๆ ทำให้อยากหาโอกาสไปอีก ครั้งล่าสุดพี่ๆ ในกองถ่ายจึงเป็นธุระช่วยกันหาที่ปฏิบัติธรรมให้นุ่น ซึ่งถูกใจนุ่นที่สุด ด้วยสถานที่ รูปแบบการปฏิบัติที่เราได้อยู่กับตัวเองจริงๆ ไม่ข้องเกี่ยวกับใครแม้แต่คำพูด

นุ่นกำลังพูดถึงสำนักสงฆ์เขาดินหนองแสง จังหวัดจันทบุรีค่ะ เริ่มแรกที่ไปก็เจอบททดสอบสุดหินเลย
นุ่นป่วยอาเจียนมาตลอด อาการไม่ดีเลยจนหลายคนคิดว่าไม่ไหวแน่ แต่นุ่นกลับคิดว่า “ไหวไม่ไหวก็ต้องไหว"

“ถ้าเรื่องแค่นี้ยังเอาชนะไม่ได้ แล้วจะไปเอาชนะเรื่องอื่นๆ ได้อย่างไร” 
วันที่สามของการปฏิบัติ อาการป่วยทุเลาลง นุ่นสามารถปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ นุ่นเอาชนะร่างกายตัวเองได้แล้ว ยิ่งได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์เช้าจรดเย็น ยิ่งได้คิดว่า “การเปลี่ยนแปลงคือธรรมดาโลก” ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ว่าเราจะยอมรับและทำความเข้าใจกับมันได้หรือเปล่า
บนเส้นทางแห่งมิตรภาพและน้ำใจ 
ความที่คุณแม่ของนุ่นเป็นครู และเคยเป็นครูบนดอยมาก่อนจึงทำให้นุ่นอินกับเรื่องการเป็นผู้ให้มาก ยิ่งมาได้รับบทครูบนดอยในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งตอกย้ำลงในใจนุ่นมากขึ้นไปอีก
ความที่อยากให้เด็กๆ มีโอกาสทางความรู้มากขึ้น นุ่นจึงประกาศรับบริจาคหนังสือในเว็บไซต์ตัวเอง เพื่อนำไปมอบให้โรงเรียนที่ต้องการเพราะลำพังนุ่นคนเดียวคงไม่มีกำลังมากพอแน่ๆ
ไม่นานนัก โรงเรียนบ้านเหมืองสองท่อ จังหวัดกาญจนบุรี ก็เป็นโรงเรียนแรกที่ติดต่อเข้ามา เมื่อ
“ของพร้อม คนพร้อม” นุ่นและเพื่อนก็ออกเดินทางทันที...ในวันเสาร์ วันที่เด็กๆ หยุดโรงเรียน 

ที่เลือกวันเสาร์ก็เป็นความตั้งใจของนุ่นเอง ขอความเรียบง่าย ไม่ต้องมีพิธีรีตอง เพราะเราก็แค่คน
ธรรมดาที่อยากช่วยเพื่อนมนุษย์เท่านั้น แม้เด็กๆ จะไม่อยู่ แต่พวกเขาก็เขียนข้อความต้อนรับ คำขอบคุณจากใจมากมายทิ้งไว้บนกระดานดำ ซึ่งพอได้เห็นเข้า...นุ่นก็รู้สึกดีแล้วว่า “เราให้เขา เขาให้เรา เราแลกกันอย่างจริงใจ” ทั้งที่เด็กๆ เองก็ไม่รู้ว่าคนที่มาเป็นใครด้วยซ้ำ วันนั้นนุ่นไม่รู้ว่าที่ทำไปตัวเองจะได้อะไร รู้แต่ว่า
“มีความสุขที่ได้แบ่งปันก็ดีใจที่สุดแล้ว”
อย่าฝากความหวังที่ใคร
พฤศจิกายนปีที่แล้ว นุ่นมีโอกาสขึ้นไปถ่ายทำภาพยนตร์ที่อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน นานถึงสาม
สัปดาห์ 

ความที่บริเวณนั้นมีแต่ป่าเขา ห่างไกลจากผู้คน มีสัญญาณโทรศัพท์แต่เฉพาะบนที่พัก นุ่นจึงเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยปริยาย วันๆ ทำแต่งาน พอมืดก็กลับเข้าห้อง ถึงเวลาต้องอยู่คนเดียว 
ดีกรีความเหงาค่อยๆ สะสมไปจนแตะระดับสูงสุดในเย็นวันหนึ่ง วันนั้นพอกลับเข้าที่พักปุ๊บ นุ่นรีบเปิด
โทรศัพท์มือถือทันที แล้วนั่งมองอย่างตั้งใจ รอดูว่ามีใครโทรศัพท์มาหาบ้าง หรือมีใครส่งข้อความเข้ามาหรือเปล่า
นุ่นรออยู่นานมาก (ลากเสียงยาว) แต่ทุกอย่างก็เงียบสนิท อยู่ๆ ก็มีโทรศัพท์เข้ามา นุ่นแอบดีใจนึกว่า
แฟนโทร.มา แต่ผิดคาดเพราะปลายสายกลับเป็น “แม่” ของนุ่นเอง แม่ซึ่งไม่ได้เป็นคนที่นุ่นนึกถึงเลย นุ่น
ปล่อยโฮออกมาชุดใหญ่ แต่พยายามกลั้นไว้ไม่ให้แม่รู้ นุ่นรับโทรศัพท์ พูดคุยให้เป็นปกติที่สุด แต่พอวางโทรศัพท์เท่านั้นแหละ นุ่นก็ร้องไห้ต่ออีก ร้องไปด้วยคิดไปด้วยว่า 

“เราใช้ชีวิตผิดมาพักหนึ่ง มัวแต่เอาใจเอาความรู้สึกตัวเองไปฝากไว้ที่คนอื่น คิดว่าเค้าจะทำให้เรามีความสุข โดยลืมมองคนที่รักเราจริงๆ ไปที่จริงแล้ว แม่คือคนสำคัญที่มีแต่ให้และไม่เคยหวังอะไรจากเราเลย”
นุ่นจึงตั้งใจว่า จากนี้ไปจะไม่เอาความรู้สึกตัวเองไปฝากไว้ที่คนอื่นอีก ไม่หวังให้ใครทำให้เรารู้สึกดี แต่
เราจะมีความสุขได้ด้วยตนเองและจะต้องดูแลพ่อกับแม่ให้สมกับที่ท่านรักเราด้วย

เตือนภัยสาวอยากขาวโอโม่...ระวังตายเร็วไม่รู้ตัว!!

Pic_310446
     สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เผยสถานการณ์กระแสความนิยมผิวขาวของคนไทยเพิ่มสูงขึ้น  เตือนคนไทยให้ระวังสารเคมีที่อยู่เครื่องสำอาง หรือยาที่ใช้รักษาฝ้าหรือสร้างผิวให้ขาว อาจส่งผลอันตรายต่ออวัยวะภายในและทำให้เสียโฉมหรือป่วยเป็นโรคไตได้
พล.ต.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร
พล.ต.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร

  พล.ท.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายก สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปัจจุบันได้เกิดกระแสความนิยมการมีผิวที่ขาว  โดยเฉพาะจากการโฆษณาของผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาวในสื่อต่างๆ ซึ่งไม่ได้เน้นแต่เฉพาะที่ใบหน้าและแขนขา แต่ได้สร้างกระแสไปถึงที่ผิวบริเวณซอกแขน ข้อศอก หัวเข่าและจุดซ่อนเร้นอื่นๆ ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มีความจำเป็นหรือไม่ อย่างไรและมีประสิทธิภาพแค่ไหน ซึ่งโดยทางวิชาการแล้ว ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้มีความจำเป็นแต่อย่างใด   

    แต่โดยหลักการแล้วร่างกายของเราสามารถสร้างสีผิวขึ้นมา ซึ่งเป็นเสมือนการสร้างเกราะป้องกันอันตรายจากรังสีโดยเฉพาะรังสีอัลตราไวโอ เล็ตหรือรังสียูวีในแสงแดด โดยตัวการที่ทำให้ผิวของเรามีสีที่แตกต่างกัน เช่น สีผิวสีขาว  สีแทน หรือสีดำ อย่างที่เห็น ก็คือเม็ดสีที่ทางวิชาการเรียกว่า เมลานิน ตัวเมลานินจะทำหน้าที่ดูดกลืนรังสียูวีเอาไว้ ไม่ให้ผ่านมาทำอันตรายถึงผิวหนังชั้นในและอวัยวะภายใน ดังนั้นการกระทำใดๆ ที่พยายามกำจัดปริมาณเมลานินเพื่อให้ผิวขาวขึ้น ก็เท่ากับเป็นการลดเกราะคุ้มกันตามธรรมชาติที่เรามีอยู่

    โดย ทั่วไปผิวหนังของคนทั่วไป จะแบ่งตามความเข้มของผิวเป็น 6 ขั้น ของคนไทยจะอยู่ในส่วนของขั้นที่ 3-4 ซึ่งเป็นผิวหนังที่เหมาะกับการป้องกันแสงแดดได้ดี แต่สามารถเป็นฝ้าได้ง่าย มากที่สุด เพราะมีการสร้างเม็ดสีได้ดี ซึ่งการรักษาผิวพรรณด้วยการฟอกผิวขาว จำเป็นจะต้องศึกษาก่อนว่า ผิวส่วนไหนบางกว่าปกติ ส่วนไหนต้องถูกกับรังสียูวีมากกว่าปกติ ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดอาการผื่นคัน แพ้ หรือบริเวณที่ถูกแสงแดดมักจะเป็นฝ้าได้ง่ายขึ้น  ซึ่งการใช้ยารักษาฝ้าหรือทำให้หน้าขาว จะมีหลายประเภท อาทิ  ยาชนิดทาจะค่อนข้างปลอดภัยมากกว่ายาชนิดอื่น ๆ หากทาบางๆ ก็จะดูดซึมลงไป เพียงแค่ผิวหนังชั้นต้น แต่หากตัวยาซึมเข้าไปสู่กระแสเลือดก็จะเกิดอันตรายไปสู่อวัยวะในร่างกายได้ ไม่แนะนำให้ใช้ชนิดรับประทานหรือฉีด เพราะจะทำให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายสู่อวัยวะอื่นทำให้เป็นอันตรายได้ และยาทาควรได้รับการรับรองจาก อย. ก่อน มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ  เช่น ไต หรือผิวหนังได้เช่นกัน
หน้าที่ โดยทั่วไปของผิวหนัง คือการปกป้องร่างกายจากรังสียูวี โดยเซลล์เม็ดสีจะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวไหม้พอง เป็นมะเร็ง และไม่ให้ใยคอลลาเจน หรืออีลาสติน ถูกทำลายซึ่งจะทำให้ผิวหนังเป็นริ้วรอย  การปกป้องผิวให้พ้นจากแสงแดด จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะ เป็นธรรมชาติ ปลอดภัยและประหยัดที่สุด ในการรักษาสภาพผิวไม่ให้เข้มขึ้น  ซึ่งยังช่วยป้องกันไม่ให้ใบหน้าเกิดฝ้า หรืออักเสบจากการถูกแดดเผาอีกด้วย แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ ก็ควรป้องกันผิวโดยการทาด้วยโลชั่นกันแดดอย่างสม่ำเสมอ  ถ้ามีการใช้สารช่วยให้ผิวขาวร่วมด้วย ควรมุ่งหวังผลเพียงฟื้นฟูสภาพสีผิวของเราให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ก็ถือว่าได้ผลดีที่สุดแล้ว



        นอก จากนี้สูตรตำรับช่วยให้ผิวขาวที่ผสมสารมากชนิดและมีราคาแพง ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าประสิทธิภาพจะดีกว่าตำรับที่มีราคาถูกกว่าเสมอไป  หลักการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาว ก็จะเหมือนกับหลักการเลือกใช้เครื่องสำอางทั่วๆ ไป คือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ตัวเรารู้สึกว่าใช้แล้วดี คือไม่แพ้ ไม่มีอาการระคายเคือง  และราคาไม่แพง ที่สำคัญคือผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรใช้มาตรการป้องกันแสงแดดร่วมด้วย  ดังนั้นหากเรามีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสีผิวและผลิตภัณฑ์ที่ เกี่ยวข้อง  ก็จะทำให้มีวิจารณญาณเป็นของตัวเอง ไม่หลงเป็นเหยื่อของการโฆษณาและการสร้างค่านิยมเรื่องต้องผิวขาวเท่านั้นถึง จะสวยหรือดูดี เพราะถ้าแพ้ผลิตภัณฑ์ก็อาจมีอันตรายถึงเสียโฉมได้ ทางที่ดี อยู่อย่างสีผิวของเรา  แต่เรียบ เนียน และสุขภาพของผิวดี จะดีที่สุด